คำต่อคำปลัดคลังระเบิดอารมณ์”รับร้อง5พัน”ดราม่า
วันที่ 01 พ.ค. 2563 เวลา 15:26 น.
การเปิดรับลงทะเบียนร้องทุกข์ปัญหาไม่ได้รับเงิน 5,000 บาท ของกระทรวงการคลัง กลายเป็นรอยร้าวปมลึก การทำงานในกระทรวงการคลัง ระหว่างฝ่ายนโยบาย กับฝ่ายบริหาร
นายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดคลัง ได้ระบายความในใจคำต่อตำที่ไม่เห็นด้วยกับฝ่ายนโยบายที่ให้ตั้งโต๊ะรับเรื่องรองทุกข์ปัญหาไม่ได้รับเงิน 5,000 บาท ว่า
“สื่อเป็นเครื่องมือให้คนที่จะมาหาเงิน นักข่าวเป็นเครื่องมือ เพราะเค้ามีตังค์อยู่แล้ว หลายคนเราเช็คแล้วว่าเค้าได้เงินอยู่แล้ว แต่เค้ามา เพื่อได้ต่างหากอีก แม้แต่คนทีปีนรั้วก็ได้ตังค์อยู่แล้ว เพียงแต่เค้าอยากได้มากกว่านั้น ขอให้โฆษณา บริจาคให้เค้า เพราะมีเคสตัวอย่างเกิดขึ้น ก็เลยใช้นักข่าวเป็นเครื่องมือ
ถ้าเค้าเดือดร้อนเรายินดีอยู่แล้ว เพราะเป็นหน้าที่เรา ที่กระทรวงการคลังต้องดูแล เราจ่ายเงินเยียวยา เราก็ทำทุกอย่าง เจ้าหน้าที่เราดูแลทุกคน ผมว่า 2 เดือนครึ่งแล้วที่ไม่ได้หยุดเสาร์อาทิตย์เลย เราพยายามจะเร่งดูแลการจ่ายเงิน เพราะเงินนั้นไม่ใช่เงินเรา เป็นเงินที่กู้มา เป็นเงินที่พวกเราต้องใช้หนี้ในอนาคต แต่เรารู้ว่าเค้าเดือดร้อน เราก็ต้องช่วยเค้า คนที่เดือดร้อนเราพร้อมช่วยทุกคน แต่คนที่ดราม่าบางคนเนี่ย หน้าเป็นห่วง ไม่อยากให้สื่อตกเป็นเครื่องมือคนที่มาดราม่า
คนที่มาเราสงสาร เพราะยังไงก็ได้เงินอยู่แล้ว แต่ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายมาอีก แต่ว่าถ้าอยากมาก็ให้มาไม่ว่ากัน
ผมไม่อยากพูดอะไรมากกว่านั้น เพราะว่าผมเป็นข้าราชการประจำ ข้าราชการประจำก็มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง ทำตามนโยบาย โดยที่เมื่อมีนโยบายอะไรก็ต้องทำตามนโยบาย
พนักงานแบงก์ทุกแบงก์ต้องออกไปทำงาน ซีอีโอต้องไปด้วย ถ้าไม่ไปสหภาพจะเล่นงานว่าให้ลูกน้องลำบากได้ไง วันหยุดก็ต้องไป เห็นใจ แม้กระทั่งข้าราชการเสาร์อาทิตย์ก็ไม่ได้หยุด ผมก็เห็นใจเค้า แต่ว่าผมบอกเค้าว่าออกไปได้รับประโยชน์ สิ่งแรกที่จะได้คือ ได้เห็นเลยว่าคนที่ลำบากกว่าเรามีเยอะ และจะได้เห็นว่ามนุษย์เราบางคนไม่ได้ทุกข์เลย บางคนรวยมากเลย รวยกว่าคุณตั้งเยอะ แต่เห็นแก่ตัว และมาขอ 5 พัน คุณจะได้เห็นความต่างของจิตใจของคน และคุณจะเห็นใจคนในการช่วยคนที่ลำบาก จะได้บุญ และจะได้เห็นว่าคนที่ไม่ควรจะได้แต่กลับมาขอก็เป็นสิ่งที่เราปกป้องเงินหลวงได้ ก็ถือว่าได้บุญเหมือนกัน ได้บุญ 2 ทาง และเข้าใจชีวิตมากขึ้น
ในฐานะข้าราชการรับเงินเดือนประจำ ถือว่าเราทำเพื่อแผ่นดิน ผมได้บอกเค้าไป ลูกน้องผมเล่า ไปนั่งกินข้าวเที่ยง และร้านข้าวติดแม่น้ำ ก็มองไปเจอบ้านหลังหนึ่งติดแม่น้ำ หลังใหญ่ สวยมาก พอดูรายละเอียดต่อไปว่าหลังต่อไปต้องไปที่บ้านไหน ก็พบว่าต้องไปบ้านหลังใหญ่ติดแม่น้ำ ซึ่งขอ 5 พัน มีรถเก๋งจอดหรูอยู่ข้างใน บางคนไปถึงนอกจากได้ 5 พันแล้ว ก็ยังคิดจะเอาของไปให้อีก เพราะชีวิตลำบากจริงๆ
เรื่องการดูหน้ากระทรวงไม่มีระยะห่างทางสังคมของผู้มาลงทะเบียน เราให้ตำรวจมาดูแลสถานการณ์ ผมกะอยู่แล้วว่าต้องเกิดปัญหาพวกนี้ จึงพยายามที่จะไม่ให้มีปัญหาพวกนี้ แต่ในเมื่อคนคิดว่าเราไม่ดูแล จริงๆ มาแล้วเราก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการเปิดเว็บให้ดู ให้เห็นว่าเค้าอยู่ในสถานะไหน แต่ว่าสิ่งที่ห่วงคือไม่อยากให้นักข่าวไปเป็นเครื่องมือของคนดราม่าหวังรายได้พิเศษก็เท่านั้น จึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง นอกเหนือจากการแถลงข่าววันนี้ เป็นการเล่าความในใจให้ฟัง
เราวางกรวย ทำทุกอย่างแล้ว เอาตำรวจมา เราพยายามทำแล้ว สิ่งนี้เราพยายามแล้ว ให้คนไปบอก ทำทุกทาง แต่ก็ขอให้เค้าปลอดภัย
เราพยายามแล้ว แต่ที่เหลือเค้าต้องเข้าใจด้วย เราพยายามจริงๆ เราไปเดินบอกเป็นระยะ รปภ. ก็พยายามพูด แต่พูดแล้วคนที่หนึ่งผ่านไป คนที่สองก็มาใหม่ คือจัดได้ แต่คนไทยถ้าเกิดขัดใจแล้วจะเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้ ถ้าคุยกับคนรู้เรื่องก็รู้เรื่อง แต่คุยกับคนที่มีเจตนาจะไม่รู้เรื่องก็จะไม่รู้เรื่อง แล้วก็คนมานี่มีพวกพร้อมที่จะไม่รู้เรื่อง ตั้งใจจะไม่รู้เรื่องก็มี
แม้กระทั่งคนที่เห็นว่ามากินยาเบื่อหนูตาย อันนั้นเค้าก็เตรียมมาจากบ้านแล้วที่จะกินและกินในปริมาณที่ตั้งใจ พอดีๆ แต่ถามว่าคนที่กระทรวงการคลังจะรู้ไหมว่าเขาจะกินยา
วันก่อนหน้าก็มีป้าคนหนึ่งมา เดินแล้วเซจะล้ม ก็มี รปภ. ผู้หญิงประคองไว้ เค้าก็กล่าวร้าย หาว่า รปภ. จะไปทำร้ายร่างกายเขา เขาจะแจ้งความ ก็วุ่นวาย อาละวาดอยู่ครึ่งวัน ตำรวจก็พาไปดูขากระเผลก ทำให้ รปภ. ยิ่งกลัว กลัวประชาชนไม่รู้ใครจะมาเล่นบทอะไร เล่าในฐานะที่อยู่ในกระทรวงการคลังก็เห็นข้อเท็จจริงด้วยกัน
แม้กระทั่งวันที่ผมลงไปรับผมก็จำหน้าได้ คนที่มา “พวกเราลุย” หรือบางคนมาร้องไห้ ผมจำหน้าได้ว่าเป็นพวกการเมืองอีกพรรคหนึ่ง ผมจำหน้าได้เพราะผมเคยเห็นว่าหน้านี้ใช่ แล้วเราจะทำอะไร เราเป็นข้าราชการ เราก็ต้องอดทนที่จะพยายามชี้แจง และชี้แจงจบแล้วเราบอกแล้วว่าเรากลัวเรื่องโรคระบาดจริงๆ เพราะมันไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ข้าราชการถ้าเราให้เค้ากรอกๆ แล้วกลับไปก็จบ แต่บางคนไม่ยอมจบ โรคระบาดเป็นสิ่งที่เรากังวลมาก ๆ ตอนนี้เรื่องการรักษาระยะห่างทางสังคม เป็นเรื่องที่อ่อ่นไหวมาก เพราะประชาชนส่วนมากไม่เข้าใจ
ตอนที่ไปเปิดบัญชีที่ธนาคารออมสิน คนเข้าใจว่าจะได้เงินเร็ว แห่ไปไม่มีคำว่ากลัวโควิดเลย จนต้องผมต้องประสานสั่งให้ปิดแบงก์ เพราะกลัวโรคระบาดเกิดขึ้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากบริการ แต่บริการจะเกิดอันตรายในการแพร่โรคระบาด เพราะคนมาเบียดเสียด ตะโกน ไม่ใส่หน้ากาก อันตรายจริงๆ ประเทศเราต้องอยู่ในสังคมที่ใส่หน้ากากอีกปีนึง เราต้องปรับตัวเองให้เข้าใจกับโรคใหม่
สิ่งที่อยากฝากสื่อคือ เวลานำเสนออยากให้เสนอมุมที่ให้เกิดความผูกพัน ความเห็นใจกัน อย่าให้เกิดมุมความเกลียดชังขึ้นมา มันไม่ได้ดีกับประเทศเรา การพาดหัวข่าวก็อยากจะฝากด้วย อย่าเป็นเครื่องมือให้เค้ามาหากินจากความเห็นใจที่เรามี
อย่างป้าที่ร้องไห้อย่างเดียวไม่ฟังอะไร ก็ได้ไป 7-8 หมื่นจากที่ดาราให้มา ดูหน้าก็จำได้ อีกคนหนึ่งก็มาไม่คุยอะไรเลย ตะโกนโหวกเหวกอย่างเดียว ผมก็จำหน้าได้ เพราะสมัยก่อนก็เห็นไปนำเป็นการ์ดเสื้อสีอะไรก็ไม่รู้ ก็เล่าสู่กันฟัง ไม่ต้องไปลงข่าว แต่อยากให้เห็นว่าเป็นยังไง”