ซีไอเอกับการค้นพบ “UFO” ในเมืองไทย
วันที่ 29 เม.ย. 2563 เวลา 21:10 น.
ครั้งหนึ่งหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐติดตามการพบยานลึกลับที่ปรากฎตัวในเมืองไทย
ในช่วงทศวรรษที่ 80 มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Riddle of Hangar Eighteen เขียนโดยทิโมที กรีน เบคลีย์ (Timothy Green Beckley) กูรูด้านจานบินและสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติชาวสหรัฐ ตอนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องการตกของจานบินในประเทศจีน (Crashes in China) แต่เนื้อหาของมันไม่ได้เกี่ยวกับจีนเลย แต่เกิดขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่ คาดว่าเพราะความสับสนของชื่อสถานที่
อย่างไรก็ตาม เนื้อหารายงานก็ระบุชัดว่าเหตุการณ์นี้เกิดที่ไทยแลนด์และเป็น “หนึ่งในเหตุการณ์ที่มีสีสันที่สุดในประเทศไทยที่เกิดขึ้นในปี 1958” หรือพ.ศ. 2501
ผู้ที่เขียนรายงานนี้คือกงสุลสหรัฐประจำเชียงใหม่และส่งเรื่องกลับมายังผู้บังคับบัญชาที่กรุงวอชิงตัน รายงานระบุว่า เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2501
มีคนในเชียงใหม่หลายคนพบเห็นวัตถุบินได้ในระดับต่ำแต่บินด้วยความเร็วมาก หนึ่งในพยานที่พบเห็นมีชาวอเมริกันหลายคน ซึ่งเล่าว่ายานบินลึกลับมีลักษณะเหมือนลูกไฟที่มีควันขาวเป็นทางยาวตามมาเป็นหางว่าว
เช้าวันต่อมาเจ้าหน้าที่กงสุลทราบว่ายานลึกลับไปตกที่เทือกเขาทางตะวันออกของเมืองเชียงใหม่ บริเวณ อ. สันกำแพง เกิดแรงสั่นสะเทือนหลังการตกรุนแรงมากเพราะเกิดการระเบิดตติดตามมา
รอเบิร์ท จอร์จ บริวสเตอร์ (Robert George Brewster) รองกงสุลและเจ้าหน้าที่วิเคราะห์ทางการเมือง ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ CIA เดินทางไปพร้อมกับนักข่าว เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น และตำรวจไปยังที่เกิดเหตุ ตอนแรก คณะได้นั่งรถจี๊บแลนด์โรเวอร์เข้าไปบนภูเขาจากนั้นเมื่อสุดทางเกวียนแล้วจึงต้องเดินเท้ากันไป พวกเขาได้ซักถามคนตัดฟืนหลายคนซึ่งยืนยันว่ารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนหลังการระเบิด
อย่างไรก็ตาม คณะสำรวจตัดสินใจไม่เข้าไปลุยป่าต่อเพราะใกล้ค่ำและไม่ได้เตรียมอุปกรณ์พักแรมมาจึงต้องเดินทางกลับไปยัง อ. สันกำแพงและตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนกลับบริวสเตอร์ได้มอบสินน้ำใจเล็กๆ น้อยให้กับคนตัดฟืนให้ไปช่วยนำชิ้นส่วนของยานลึกลับนั้นมา
แต่ข้อมูลในหนังสือจบเพียงเท่านี้โดยทิ้งท้ายให้คิดว่า “วัตถุดังกล่าวจะถูกพบหรือไม่ ลุงแซมไม่ได้บอกเรา” ลุงแซมในที่นี้หมายถึงรัฐบาลสหรัฐ
รอเบิร์ท จอร์จ บริวสเตอร์คงไม่ใช่แค่รองกงสุลธรรมดาๆ เพราะต่อมาเขาดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้า CIA ประจำเกาหลีใต้ อย่างไรก็ตามงานของบริวสเตอร์ในเกาหลีใต้ไม่เกี่ยวกับจานบิน แต่เกี่ยวกับการเมืองเป็นหลักและอิทธิพลของของเขาต่อการเมืองเกาหลีมีมากมาย
บริวสเตอร์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 1981 ได้รับรับเหรียญเชิดชูผลงานดีเด่นด้านข่าวกรอง (Distinguished Intelligence Medal) จากต้นสังกัดของเขาคือ CIA
แต่เราไม่ทางรู้ได้ว่าชิ้นส่วนของยานบินปริศนาที่ตกที่สันกำแพงนั้นอยู่ที่ไหนและสหรัฐทำอะไรกับมัน?
แต่เรารู้ว่า CIA ให้ความสนใจกับจานบิน หรือ UFO ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน ในช่วงปลายทศวรรษที่ 40 มีการพบเห็นวัตถุลึกลับมากขึ้นในสหรัฐทำให้กิดความกังวลในหมู่ประชาชน กองทัพอากาศสหรัฐจึงคตั้งโครงการ GRUDGE ขึ้นเพื่อสืบสวนเรื่องนี้แต่กลับกลายเป็นว่าเป็นการพยายามปลอบให้ประชาชนเข้าใจว่าสิ่งที่พบเป็นแค่เทหวัตถุในอวกาศ บอลลูน ภาพลวงตา ผสมกับความกลัวสงครามเย็นที่กำลังก่อตัวขึ้น
แต่เพราะสงครามเย็นและตามด้วยบสงครามเกาหลีทำให้สหรัฐต้องเริ่มโครงการสืบสวนเรื่อง UFO ขึ้นมาอีกเรื่อยๆ คราวนี้ CIA ก็ลงมาเล่นด้วยในช่วงต้นทศวรรษที่ 50 มีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนเรื่องนี้ เช่น Robertson Panel แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลในเวลานั้น ทั้งๆ ที่เกิดแรงกดดันในช่วงปลายทศวรรษที่ 50 (ช่วงเดียวกับเกิดกรณีที่เชียงใหม่) ให้เปิดเผยข้อมูลจากผู้สนใจยานบินลึกลับ
โครงการสืบสวนที่ CIA เกี่ยวข้องล้วนแต่สรุปออกมาว่ายานบินลึกลับไม่ใช่ภัยคุกคามด้านความมั่นคง และสิ่งที่คิดว่าเป็นยานลึกลับนั้นคือวัตถุที่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
แน่นอนว่า คนที่เชื่อเรื่องจานบินไม่เชื่อคำอธิบายของ CIA แต่เชื่อว่าการที่โครงการหรือคณะกรรมการสืบสวนตั้งขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องจาบินจากความสนใจของสาธารณชน
ในช่วงทศวรรษที่ 60 CIA ดูเหมือนจะลดความสนใจเรื่องจานบินลงพร้อมๆ กับที่สงครามเย็นกลายเป็นสงครามจริงๆ ผ่านตัวแทนในอินโดจีน (สงครามเวียดนาม) ในเวลานั้นกองทัพสหรัฐได้มาใช้พื้นที่ของประเทศไทยตั้งฐานทัพ จากการตรวจสอบเอกสารของ CIA มีรายงานชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจมาก
เอกสารลงวันที่ 6 กันยายน 1969 รายงานว่าเช้าตรู่วันที่ 24 สิงหาคม 1964 (พ.ศ. 2507) นักบินอเมริกันที่ฐานทัพแห่งหนึ่งพบเห็นยานแปลกปลอมรูปร่างเหมือนเฮลิคอปเตอร์ที่มีใบพัดพับไว้จอดอยู่ที่พื้นดินห่างจากค่ายทหารของไทยในเมืองนครพนมประมาณ 5 ไมล์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นักบินรายงานว่าเขาแห่งแสงสว่างเป็นลำใหญ่ส่องมาทางทิศทางตรงแนวเดียว หลังจากนั้นฝ่ายไทยได้ตรวจสอบพื้นที่ดังกล่าวไม่พบอะไรผิดปกติ
มีรายงานว่ามีขบวนแห่ของประชาชนไปยังวัดและคนในขบวนถือโคมไฟฟ้าแรงไฟสูงมาด้วย และบอกว่าส่องขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่เมื่อตรวจสอบเส้นทางของขบวนแห่แล้วไม่ตรงกับเส้นทางที่นักบินพบเห็นยานลึกลับนั้น
รายงานยังเปิดเผยด้วยว่ามีการพบเห็นวัตถุบินกำหนดเอกลักษณ์ไม่ได้ (UFOs) หลายครั้งในพื้นที่ดังกล่าว เนื้อหาระบุว่า
“การพบเห็น UFOs โดยเรดาร์และตาเปล่าดังเช่นที่ถูกพบโดยนักบิน .. (ตัวอักษรไม่ชัด) ไม่ใช่ปรากฎการณ์ใหม่โดยเฉพาะในตอนกลางคืน จนถึงเดือนมกราคม 1969 มีรายงานการพบเห็น UFOs ในค่ายทหารของไทยที่นครพนมถึง 7 ครั้ง เฉพาะระหว่างวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึง 1 มกราคม 1969 เท่านั้น ความพยายามใดๆ ของเครื่องบินสอดแนมของฐานทัพที่จะระบุตัวตนของวัตถุเหล่านั้นไม่ประสบผลสำเร็จ”
เอสารฉบับนี้มีชื่อว่า unknown entity unidentified flying object thought to be to be a helicoptor observed near Nakhon Phanom (วัตถุการบินที่ไม่ทราบตัวตนที่คิดว่าเป็นเฮลิคอปเตอร์ถูกพบใกล้นครพนม) หมายเลขเอกสาร CIA-RDP81R00560R000100070022-1
นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดของความเกี่ยวพันระหว่าง CIA และ UFOs ในเมืองไทย แต่มันก็ยังไม่ชัดเจนพอที่จะระบุว่าวัตถุลึกลับที่ว่านั้นคืออะไร
บทความโดย กรกิจ ดิษฐาน