Saturday, 23 September 2023

อดีตรมว.คลัง เตือนรัฐใช้งบแก้โควิดสูงมากอย่าให้รั่วไหลมีคอรัปชั่น – โพสต์ทูเดย์ ข่าวการเมือง


อดีตรมว.คลัง เตือนรัฐใช้งบแก้โควิดสูงมากอย่าให้รั่วไหลมีคอรัปชั่น

วันที่ 22 เม.ย. 2563 เวลา 08:49 น.

“สุชาติ” อดีตรมว.คลัง ชี้ รัฐบาล ใช้เงินแก้วิกฤตโควิด ถึง 1.9 ล้านล้านบาท สูงมาก ย้ำ อย่าให้ประชาชนผิดหวังและอย่าให้รั่วไหล มีคอรัปชั่น จี้ วางแผนคืนหนี้เงินกู้

นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้ความเห็นเรื่องพระราชกำหนด 3 ฉบับ ที่ออกเมื่อ 19 เมษายน 2563 เกี่ยวกับมาตรการดูแลประชาชนและพลิกฟื้นเศรษฐกิจ จากผลกระทบของโรคระบาดไวรัสโควิด-19 ว่า รัฐบาลจะใช้เงินรวมถึง 1.9 ล้านล้านบาท แยกเป็นรัฐบาลกู้เงินใหม่ 1 ล้านล้านบาท และใช้เงินธนาคารแห่งประเทศไทย 900,000 ล้านบาท ทั้งหมดคิดเป็น 11.4% ของผลผลิตรวมของชาติ (GDP ปี 2019 ประมาณ 16.7 ล้านล้านบาท) นับว่าสูงมาก ขนาดสัดส่วนที่จะใช้ เทียบเท่ากับประเทศร่ำรวย เช่น สหรัฐ สิงคโปร์ ซึ่งในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ไม่เคยใช้เงินจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน เมื่อตอนถูกโจมตีค่าเงินบาทปี 2540 เรากู้เงินจากไอเอ็มเอฟ 600,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่ามากแล้ว คราวนี้รัฐบาลจะใช้เงินมากกว่านั้นมาก จึงขอให้ใช้เงินให้ดี ไม่รั่วไหล หรือมีคอรัปชั่น

“พรก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 แบ่งเป็นการกู้เงิน 600,000 ล้านบาทในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะกู้ภายหลังอีก 400,000 ล้านบาท”

“เงินกู้ 600,000 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายค่าเยียวยา ค่าชดเชย ค่าเสี่ยงภัย บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่เสียสละเป็นแนวหน้าในการต่อสู้กับโรคระบาด ค่าจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค จำนวน 45,000 ล้านบาท และเพื่อชดเชยรายได้ประชาชนจำนวน 14 ล้านคน จาก 28 ล้านคนที่ลงทะเบียนไว้ ชดเชยเกษตรกร 9 ล้านครัวเรือน และช่วยเหลือผู้ประกอบการ ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดและจากคำสั่งจากรัฐบาลให้หยุดทำงาน หยุดประกอบอาชีพ จำนวน 555,000 ล้านบาท “

“รัฐบาลควรดูแลพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐบาลให้ทั่วถึง อย่าให้ประชาชนผิดหวัง ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น ได้ให้การช่วยเหลือประชาชนทุกคน คนละ 30,000 บาท แต่รัฐบาลไทยดูเหมือนจะช่วย 14 ล้านคน ทั้งๆที่มีคนลงทะเบียนไว้ 28 ล้านคน ส่วนการชดเชยเกษตรกร 9 ล้านครัวเรือน และช่วยเหลือผู้ประกอบการ ยังไม่มีมาตรการออกมา จึงมีคนยากจนหาเช้ากินค่ำมากมายไม่ได้รับเงินช่วยเหลือ ไปประท้วงที่กระทรวงการคลัง”

“บางคนไม่มีทางออกได้ทำร้ายตัวเอง บางคนร้องไห้ “ทำไมถึงไม่ช่วยล่ะ! ทำไมถึงไม่ช่วยล่ะ! แน่จริงเปิดให้ขายของได้ ก็จะไม่มาเอาเงินนี้” เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ตอนสั่งให้คนหยุดทำมาหากิน รัฐบาลไม่ได้คิดไว้ก่อน ข้อแท้จริงก็คือ หลังจากบริหารมา 5 ปี รัฐบาลได้ทำให้คนจนลงมากมาย เป็นประเทศที่ ”มีช่องว่างคนจนกับคนรวยสูงที่สุดในโลก” และเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีคนจนเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มจาก 4.8 ล้านคนในปี 2558 เป็น 6.7 ล้านคนในปี 2562 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน”

“การให้เงินชดเชยต้องให้ก่อนการสั่งให้คนหยุดงาน เพราะเราเป็นประเทศยากจน หยุดงานเพียง 2-3 วันก็ไม่มีกินแล้ว จะเห็นว่ามีผู้คนมากมาย ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดเข้าแถวรับเงินและอาหารบริจาค ถึงกับถูกโฆษกโควิด กล่าวว่า ‘จะติดโรคโควิดกัน ‘ แต่ประเด็นที่สำคัญ คือ ‘รัฐบาลต้องรู้ด้วยว่าคนจนกลัวความหิวมากกว่ากลัวโควิด”

“การกู้เงินส่วนที่สองอีก 400,000 ล้านบาท ที่มีการระบุว่า จะนำไปใช้ใน (ก) โครงการลงทุนเพื่อพลิกฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เกษตร อุตสาหกรรม บริการและการท่องเที่ยว (ข) ฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน (ค) กระตุ้นการบริโภคครัวเรือน และการลงทุนของภาคเอกชน และ (ง) การสร้างโครงสร้างบริการพื้นฐาน ทั้งหมดยังไม่มีรายละเอียด แต่ที่เห็นการใช้เงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานมูลค่า 8,000 ล้านบาท และเงินภัยแล้งในขณะนี้ ดูเหมือนมีการตั้งมูลค่าโครงการเกินเนื้องานอยู่หลายเท่าตัว เช่น โครงการขุดบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์ลึก 50 เมตร ให้เงินถึงโครงการละ 500,000 บาท ดังนั้นคงต้องระวังโครงการ 400,000 ล้านบาทอย่างมาก อย่าให้หมดไปกับการรั่วไหลมากมาย จะทำให้ประชาชนผิดหวัง”

“ปัจจุบันรัฐบาลไทยเป็นหนี้ส่วนใหญ่ภายในประเทศ 6.9 ล้านล้านบาท 42% ของผลผลิตรวมของชาติ เมื่อกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท หนี้รัฐบาลจะเป็น 7.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น? 47% ของผลผลิตชาติ?เพิ่มทีเดียว 5 เปอร์เซ็นต์ นับว่าเพิ่มมาก แต่รายได้ภาษีรวมของไทยประมาณปีละ 2.7 ล้านล้านบาท คิดเป็น 16% ของผลผลิตรวมของชาติ ซึ่งสัดส่วนรายได้ภาษีค่อนข้างต่ำ รัฐบาลจึงควรวางแผนการคืนเงินกู้ใหม่จำนวน 1 ล้านล้านบาทนี้ด้วย ว่าจะทำอย่างไร ให้ระบบเศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตมากกว่าปีละ 3-4% จึงจะสามารถเก็บภาษีมาคืนเงินกู้ได้ ไม่เช่นนั้น ในอนาคต งบประมาณรายจ่ายรัฐบาลจะมีสัดส่วนการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาก จนไม่มีเงินลงทุนในการพัฒนาประเทศ”นาย สุชาติ กล่าว