เอาคืน”อิจฉริยะ”เตรียมร้องทุกข์กล่าวโทษโจมตี”จุรินทร์”ซ้ำซาก
วันที่ 15 เม.ย. 2563 เวลา 16:12 น.
คณะที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ระบุจำเป็นต้องร้องทุกข์กล่าวโทษ”อัจฉริยะ”ตามความผิดของกฎหมาย เนื่่องจากกล่าวหาโจมตี”จุรินทร์”ซ้ำซากเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย ไม่ฟังข้อเท็จจริงที่แท้จริง
เมื่อวันที่ 15 เม.ย.ที่กระทรวงพาณิชย์ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ คณะที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ และคณะกรรมการป้องกันปราบปรามการกักตุนสินค้าและบริการหลังสถานการณ์ตามพรก.ฉุกเฉิน เปิดเผยว่า การที่นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมแจ้งความกลับเพื่อดำเนินคดีกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ โดยระบุข้อกล่าวหาว่า แจ้งความเท็จและความผิดมาตรา 157 อันเกี่ยวกับการทุจริตมิชอบนั้นเป็นการกล่าวหาซ้ำๆ อย่างมีเจตนาบั่นทอนการทำงานและไม่ใช่เจตนาการตรวจสอบโดยสุจริตเหมือนเช่นคนอื่น ซ้ำยังเป็นการแจ้งข้อกล่าวหาตามระบบกล่าวหาของกฎหมาย
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า นายอัจฉริยะนำข้อมูลเรื่องสต๊อกหน้ากากอนามัย 200 ล้านชิ้น มีการกล่าวถึงกำลังการผลิตเมื่อก่อนวันที่ 30 ม.ค.2563 ก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะประกาศเป็นสินค้าควบคุม ซึ่งนายอัจฉริยะเอาไปตีความกล่าวหาว่านายจุรินทร์ทุจริตแสวงหาผลประโยชน์ทั้งๆ รมว.พาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าภายใน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงกับสาธารณชนแล้วว่า “คำว่า 200 ล้านชิ้น” นั้นคือวัตถุดิบที่จะผลิตหน้ากากและสามารถจะใช้ผลิตเป็นเวลาหลายเดือน แต่ปรากฏว่านายอัจฉริยะไม่เคยตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ปรากฎเสียก่อน ไม่ว่าจะตรวจสอบจากรัฐมนตรี จากหน่วยงานข้าราชการ หรือหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงสาธารณสุข ที่ดูแลด้านใบอนุญาตผ่านสำนักงานองค์การอาหารและยา หรือ อย. กระทรวงอุตสาหกรรมที่ดูแลด้านใบอนุญาตโรงงานอุตสาหกรรม และที่สำคัญที่สุดไม่เคยมีเอกสารใดๆขอตรวจสอบข้อเท็จจริงเลย
“นายอัจฉริยะกลับเอาคำว่ามีหน้ากาก 200 ล้านชิ้นที่มีการชี้แจงแล้วมาขยายผล แล้วกล่าวโจมตี นายจุรินทร์และคณะผ่านทางออนไลน์ซ้ำๆไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งและยังไม่นับการกล่าวหาในที่อื่นๆ ซึ่งการกระทำของนายอัจฉริยะชี้ให้เห็นว่าการตรวจสอบนั้นไปสู่ในทางไม่สุจริตและมีเถนะจิตที่ไม่ถูกต้อง” พล.ต.ต.วิชัย กล่าว
คณะที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การกระทำของนายอัจฉริยะก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวรมว.พาณิชย์ ต่อกระทรวงพาณิชย์ และที่สำคัญสร้างความปั่นป่วนบั่นทอนการบริหารงานรัฐบาลในสถานการณ์วิกฤติ ซ้ำยังมีพฤติกรรมซ้ำซากปราศจากหลักฐาน ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับฟังการชี้แจงข้อเท็จจริงใดๆ แต่กลับใช้แต่เพียงลมปาก ปราศจากความรับผิดชอบ ต่อสังคมและข้อเท็จจริง นายจุรินทร์จึงมีความจำเป็นต้องร้องทุกข์กล่าวโทษกับนายอัจฉริยะตามความผิดของกฎหมาย